อย่าเพิ่งกินมาร์ชแมลโลว์ชิ้นนั้นจะดีกว่า
ในช่วงทศวรรษ 1960 ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มีการทดลองที่ให้เด็กวัยอนุบาลที่โรงเรียนเด็กเล็กของมหาวิทยาลัย ช่วงอายุประมาณ 4-6 ขวบ จำนวนกว่า 600 คน เข้ารับการทดสอบ โดยเด็ก ๆ จะได้รับโอกาสให้เลือกขนมซึ่งมีอยู่หลากหลาย เช่น คุ้กกี้ เพรสเซล มาร์ชแมลโลว์ หรือลูกอม จากนั้นจะให้เด็กแต่ละคนเข้าไปนั่งในห้องคนเดียว โดยบนโต๊ะจะมีขนมหนึ่งชิ้นวางอยู่ทางฝั่งหนึ่งซึ่งเด็กสามารถหยิบกินได้ทันที และมีขนมอีกสองชิ้นวางอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ บนโต๊ะมีกริ่งสำหรับให้เด็กสามารถกดเรียกเจ้าหน้าที่ให้เข้ามาในห้องได้ทันที กติกาที่เจ้าหน้าที่บอกกับเด็กมีอยู่ว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ออกจากห้องไป เด็กสามารถที่จะกดกริ่งเรียกเจ้าหน้าที่ให้เข้ามาในห้องได้ทันทีหากต้องการกินขนมหนึ่งชิ้นที่อยู่บนโต๊ะ แต่หากเด็กสามารถอดทนไม่กินขนมหนึ่งชิ้นที่อยู่บนโต๊ะ และรอให้เจ้าหน้าที่กลับเข้ามาในห้องเองในอีก 15 นาที เด็กจะได้รับขนมเพิ่มเป็นสองชิ้น โดยตลอดการทดสอบจะมีนักทดลองนั่งคอยสังเกตพฤติกรรมของเด็ก ๆ ผ่านกระจกทึบที่มองเห็นเพียงด้านเดียวจากด้านนอก ซึ่งการทดลองที่โด่งดังนี้ เรียกว่า การทดลองมาร์ชแมลโลว์ (Marshmallow Test)
จากการนั่งสำรวจพฤติกรรมของเด็ก ๆ ผ่านบานกระจกทึบ พบว่า เด็กบางคนใช้มือปิดตาเพื่อที่จะได้ไม่เห็นขนมชิ้นนั้น บางคนนั่งมองและตัดสินใจว่าจะกินหรือไม่กินดี บางคนทุบโต๊ะ เตะโต๊ะ เด็กบางคนอดทนสักระยะแต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถทำได้และตัดสินใจที่จะกินขนม และบางคนกินขนมนั้นทันทีที่เจ้าหน้าที่เดินออกจากห้อง ซึ่งจากการทดลองมีเด็กเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ที่สามารถอดทนรอจนกระทั่งเจ้าหน้าที่กลับเข้ามาในห้องเอง และได้รับขนมสองชิ้น
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับการทดลองนี้ก็คือ หลังจากนั้นได้มีการติดตามประเมินผลเด็กกลุ่มนั้น พบว่า การที่เด็กเล็กอายุแค่ 4-6 ขวบ สามารถอดทนรอและชะลอความพึงพอใจที่จะได้รับออกไปได้นั้น กลายเป็นสิ่งที่กำหนดหรือสามารถพยากรณ์ชีวิตในอนาคตของพวกเขาได้ เด็กที่สามารถอดทนรอไม่กินขนม จะมีคะแนนสอบ SAT ที่มหาวิทยาลัยใช้ในการรับเด็กเข้าเอนทรานซ์ที่สูง และเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่เด็กเหล่านี้จะมีทักษะทางอารมณ์ที่ดีกว่า สามารถปรับตัวเพื่อรับกับความเครียดได้ดีกว่า รวมไปถึงดัชนีมวลกายที่ดีกว่า และแน่นอนว่าเด็กกลุ่มนี้มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตและอาชีพการงานที่มากกว่า
ความสามารถควบคุมตัวเองได้และความสามารถในการอดทนรอ ถือเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ คนที่จะประสบความสำเร็จจะต้องมี เพราะคุณสมบัติดังกล่าวมีผลต่อความสำเร็จและความล้มเหลวโดยตรง นักจิตวิทยาได้ให้ข้อสันนิษฐานในมุมหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับการทดลองนี้ไว้ว่า ความแตกต่างระหว่างเด็กสองกลุ่มนี้ก็คือ สำหรับเด็กที่อดทนรอได้นั้น ไม่ใช่เรื่องของการ “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” อย่างที่บางคนเข้าใจกัน เพราะเด็กกลุ่มนั้นไม่ได้อดทนต่อสิ่งที่ล่อใจอยู่ตรงหน้า แต่พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ “คิดถึงอนาคตมากกว่าปัจจุบัน” ซึ่งน่าจะหมายถึงว่า เด็กที่อดทนรอได้ไม่ได้มองขนมชิ้นเดียวที่อยู่บนโต๊ะเลย แต่มองไปที่ขนมสองชิ้นเท่านั้น
ถ้าจะเปรียบพฤติกรรมของเด็กกลุ่มที่อดทนรอได้ในแง่ของการลงทุนของนักลงทุน ก็น่าจะหมายถึง นักลงทุนที่นอกจากจะสามารถชะลอความพึงพอใจที่จะได้รับในปัจจุบันออกไปได้แล้ว ยังรู้จักนำเงินไปลงทุนระยะยาว และสามารถอดทนรอให้เงินลงทุนนั้นงอกเงยในตลาด โดยที่ไม่หยุดการลงทุนนั้น เพราะตระหนักว่าการลงทุนนั้นเป็นสิ่งที่ควรจะทำเพื่ออนาคตทางการเงินของตนเอง
ซึ่งคงไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่า ในแง่ของการลงทุนแล้ว สมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฟผ. เป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมแบบเด็กที่ได้รับขนมสองชิ้น เพราะยอมที่จะหักเงินสะสมเพื่อนำไปลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยหวังผลตอบแทนในระยะยาวที่มากกว่า เพื่ออนาคตของชีวิตหลังเกษียณอายุ ซึ่ง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 ข้อมูลสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฟผ. มีอัตราการหักเงินสะสมรายเดือน แบ่งตามช่วงอายุของสมาชิก ดังนี้
ตารางแสดงอัตราการหักเงินสะสมของสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฟผ. แบ่งตามช่วงอายุ ณ 28 กุมภาพันธ์ 2562
อัตราเงินสะสม (%) |
ช่วงอายุ |
รวม |
||||
ต่ำกว่า 31 ปี |
31 - 40 ปี |
41 - 50 ปี |
มากกว่า 50 ปี |
|||
จำนวน (คน) |
จำนวน (คน) |
จำนวน (คน) |
จำนวน (คน) |
จำนวน (คน) |
ร้อยละ |
|
3 |
406 |
408 |
337 |
918 |
2,069 |
10.44 |
4 |
48 |
27 |
16 |
58 |
149 |
0.75 |
5 |
344 |
287 |
178 |
477 |
1,286 |
6.49 |
6 |
70 |
48 |
51 |
163 |
332 |
1.68 |
7 |
83 |
64 |
42 |
121 |
310 |
1.56 |
8 |
53 |
29 |
21 |
39 |
142 |
0.72 |
9 |
1,342 |
1,505 |
239 |
272 |
3,358 |
16.95 |
10 |
489 |
484 |
297 |
495 |
1,765 |
8.91 |
11 |
70 |
83 |
299 |
1,691 |
2,143 |
10.82 |
12 |
80 |
99 |
47 |
86 |
312 |
1.57 |
13 |
16 |
20 |
29 |
86 |
151 |
0.76 |
14 |
6 |
6 |
8 |
15 |
35 |
0.18 |
15 |
819 |
1,040 |
1,303 |
4,597 |
7,759 |
39.17 |
รวม |
3,826 |
4,100 |
2,867 |
9,018 |
19,811 |
100.00 |
จะเห็นได้ว่าสมาชิกมีการหักเงินสะสมในอัตรามากน้อยที่แตกต่างกันไป แต่มีสมาชิกถึงประมาณร้อยละ 80 ที่หักเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพในอัตราตั้งแต่ 9% ขึ้นไป ซึ่งเมื่อเทียบกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกองอื่นแล้ว ต้องถือว่าสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฟผ. มีวินัยในการออมอย่างมาก ซึ่งเงินสะสมก้อนนี้เมื่อเวลาผ่านไปจะสร้างผลประโยชน์เติบโตขึ้น และเมื่อไปรวมกับเงินสมทบในส่วนของนายจ้างที่ กฟผ. จ่ายสมทบให้กับผู้ที่เป็นสมาชิกเป็นประจำทุกเดือนและผลประโยชน์ของเงินสมทบด้วยแล้ว เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของสมาชิกจะเป็นเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่จะเป็นที่พึ่งพิงให้สมาชิกได้ในอนาคต
สิ่งหนึ่งที่เห็นแล้วรู้สึกเสียดายแทน เมื่อพูดถึงเรื่องของเงินสมทบส่วนของนายจ้างก็คือ ที่ผ่านมา เห็นการลาออกจากการเป็นสมาชิกกองทุนบางส่วน ซึ่งมีผลทำให้สมาชิกท่านนั้นไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินสมทบที่ กฟผ. จ่ายสมทบให้ คิดแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ทีเดียวในแต่ละเดือน ถ้าจะเปรียบว่าการลาออกจากกองทุนเป็นการลดเงินเดือนตัวเองก็คงไม่ผิด และประเด็นหนึ่งที่ผู้ที่ลาออกจากกองทุนต้องไม่ลืมก็คือ ตราบใดที่ยังไม่กลับเข้ามาเป็นสมาชิกกองทุน ต้นทุนค่าเสียโอกาสของการลาออกจากกองทุนจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการลาออกจากกองทุนส่งผลให้สมาชิกไม่ได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ ซึ่งเงินก้อนนี้เป็นเงินที่สมาชิกควรจะได้รับหากยังมีสถานะเป็นสมาชิกอยู่
ก็ได้แต่หวังว่าสมาชิกที่ลาออกไปจะรีบกลับเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกอีกโดยเร็ว เมื่อครบเวลาตามเกณฑ์ที่กองทุนกำหนดไว้ เพื่อจะได้กลับมามีสิทธิ์ได้รับเงินสมทบจาก กฟผ. และอยากเตือนว่าอย่าลาออกไปอีก เพราะสิ่งที่เสียไปจากการลาออกจากกองทุนคิดแล้วเป็นเงินจำนวนมากจริง ๆ ไม่ใช่แค่ขนมชิ้นเดียว
“ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน ”
El nino No.14